วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

เที่ยวชมเชอรีบอสชัม (Cherry bossom) ในดีซี

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ได้นัดเพื่อนๆ มารวมตัวกันเพื่อเข้า ดีซี ทุกคนมารวมตัวกันด้วยเสื้อผ้าหลากหลายสีสัน
เพราะจุดประสงค์หลักในการเข้าไปดีซีครั้งนี้ คือ ไปชมงานดอกซากุระบาน (Cherry bossom) ที่จัดขึ้นทุกปีในดีซีนั่นเอง

งานดอกซากุระบาน (Cherry bossom) เป็นงานประจำปีของดีซี ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิในกรุงวอชิงตันดีซี และเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างอเมริกาและญี่ปุ่นด้วย เทศกาลนี้จะจัดให้มีขึ้นสองสัปดาห์ โดยจะเริ่มต้นในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคม และมีการพิธีเปิดอย่างอลังการด้วย 


ในงานนอกจากจะเห็น ดอกซากุระ ในดีซี บานสะพรั่ง ทั่วไปหมด แล้ว ยังมีการแสดงศิลปะและ การแสดงทางวัฒนธรรม กิโมโนแฟชั่นโชว์, เต้น, ร้องเพลง และอื่นๆ


เรียกได้ว่ามีนักท่องเที่ยวเยอะแยะมากมายจากทั่วทุกที่ เพื่อมาชมงานนี้โดยเฉพาะ












ใครมางานนี้ก็จะได้ภาพสวยๆ กลับไปเพียบ มาดูกันเลยค่ะว่าจะสวยงามแค่ไหน








วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

เที่ยวอุทยานแห่งชาติ เยลโล่สโตน ตอนที่ 2 (Yellowstone National Park)

เมื่อตอนที่แล้ว จบกันไว้เรื่องร้านอาหารในเยลโล่สโตน ตอนที่ 2 นี้ก็จะมาขอต่อกันเรื่องอาหารการกินอีกสักหน่อยนะคะ แน่นอนว่า เยลโล่สโตนก็เป็นเมืองท่องเที่ยวทั่วไปที่ข้าวของแทบทุกอย่างมีราคาแพง โดยเฉพาะร้านอาหารและโรงแรมที่พัก เราพัก campground ก็เลยช่วยประหยัดไปได้มากเลย แต่เรื่องอาหารถ้าจะให้ไปซื้อกินเอาทุกมื้อ แวะจอดร้านอาหารทุกครั้งที่หิว เห็นจะไม่ไหว ด้วยความงก ก็พกของกินที่สามารถเก็บได้นานหน่อย เช่น ไก่ทอด ข้าวเหนียว(อันนี้แวะซื้อที่ร้านอาหารลาว) มาม่า ใช่ค่ะ มาม่า!! 

ในบางซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ ๆ จะมีมาม่ารสต้มยำกุ้งขายด้วยนะคะ เห็นแล้วปลาบปลื้มเป็นที่สุด ฮ่าๆๆ ผักแบบที่เค้า หั่นใส่ถุงไว้แล้ว ผลไม้ ไส้กรอก เราซื้อตุนไว้ก่อนเข้าพาร์คเลยค่ะ เพราะซุปเปอร์ใหญ่ในพาร์คไม่มี หาซื้อยาก และก็คนละราคากันด้วย แพงกว่านั้นเอง 

เราติดเตา ทำอาหารกินกันค่ะ ก็ย่างไส้กรอก ต้มมาม่า ปิ้งไข่ ต้มข้าวโอ๊ต เอาของที่ซื้อมาอุ่นกินหลายมื้อเลย สนุกมากๆ ได้บรรยากาศในการมาเที่ยวแบบผจญภัยแอ๊ดแวนเจอร์สุดๆ อาหารที่ทำกินเองก็รู้สึกว่ามันอร่อยน้ำตาเล็ด เพราะกว่าจะติดไฟได้แต่ ละมื้อ หิวจนไส้กิ่วทุกอย่างที่ทำมาจึงอร่อยสุด ๆ ฮ่าๆๆๆ ในพาร์คมีกฏมากมายค่ะ การติดเตาก็มีวิธีบอกอย่างชัดเจนว่าดับอย่างไร เก็บกวาดอย่างไร ก่อกองไฟได้ถึงเวลา เท่าไหร่ ต้องทำตามกฏค่ะ เพราะคนดูแลป่าที่นี้เขาเข้มงวดมาก

(credit ภาพหมีจาก www.usatoday.net 
สาเหตุที่เค้าเข้มงวดเรื่องการติดเตาปรุงอาหารมีหลายเหตุผลค่ะ แต่หลัก ๆ เลยคือ ป้องกันนักท่องเที่ยวถูกหมีทำร้าย และป้องกันไม่ให้หมีที่ออกมาหาอาหารตอนกลางคืน มากินของเหลือรอบเตาไฟ เยลโล่สโตนเป็นพาร์คที่มีประชากรหมีเยอะมากค่ะ จากคำบอกเล่าของผู้ดูแลเขตอนุรักษ์(Ranger) ประชากรหมีมีประมาณ 1300 ตัวทั่วพาร์ค แบ่งเป็นหมีดำ (Black Bear) และ กรีซซ์ลี่ย์ (Grizzly Bear) อย่างละครึ่ง กรีซซ์ลี่ย์จะมีขนาดใหญ่กว่า หมีดำมากค่ะ และขนจะเป็นสีน้ำตาลปุกปุย ฟังดูน่ารัก แต่หมีจริงๆมันก็ดุ ตามสัญชาติญาณ ของมัน 

กฏที่สำคัญเลยคือ ห้ามให้อาหารเด็ดขาด ถ้าหมีได้รับอาหารจากมนุษย์จะต้องล่าและฆ่าหมีตัวนั้นทิ้งค่ะ เพราะมันจะกลับมา ทำอีกและอาจเป็นอันตรายกับนักท่องเที่ยว อันนี้คนทำให้หมีเดือดร้อนแท้ ๆ ห้ามทิ้งของกินไว้บนโต๊ะปิ๊กนิค เพราะหมีจะโดนฆ่าทิ้ง เช่นกันถ้ามากินของเหลือจากคนค่ะ สาเหตุนี้ทำให้ประชากรหมีในพาร์คลดลงไปเยอะมากน่าสงสารพวกหมีๆ นะคะ แต่หมีก็เป็น สัตว์ Signature ของพาร์คเลยนะ ถ้าปีไหนที่คนได้ยินข่าวว่ามีแม่หมีออกลูกก็จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกัน เยอะเลยค่ะ แต่ตอนเราไปก็เสียดายมากไม่ได้เห็นซักตัว เพราะเป็นหน้าร้อน ส่วนใหญ่หมีจะหลับ และออกมาตอนกลางคืนซึ่งเราหลับ ฮ่าๆๆๆ เลยอดเห็นหมีเลยอ่า

จริง ๆ แล้วเยลโล่สโตนมีความหลากหลายของสัตว์ป่านา ๆ ชนิดค่ะ แต่สัตว์อีกชนิดที่ทำให้เราและนักท่องเที่ยวตื่นเต้นได้ ตลอดทริปคือควายป่าไบสั่น(Bison) มันจะออกมาให้เห็นตลอดการเดินทางเลย ตัวมันจะใหญ่โตมาก ๆ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ค่ะ บางฝูง มีจำนวนเป็นแสน ๆ ตัวเลย หน้าตื่นตาตื่นใจมาก เราพบเห็นมันได้ทุกที่ เลยค่ะ เป็นสัตว์ที่ดูเชื่องช้าใจดี แต่ผู้อนุรักษ์บอกว่า นักท่องเที่ยวถูกเจ้าควายไบสั่นทำรายมากกว่าถูกหมีทำร้ายสะอีกในปีหนึ่งๆ 

เพราะด้วยความที่นักท่องเที่ยวเห็นว่ามันช้านี้แหละค่ะ เค้าเลยคิดว่ามันไม่มีอะไรวิ่งทันหนีทัน แต่ที่ไหนได้ ถ้ามันโมโหและพุ่งตัวเอา เขาแหลมๆ มาแทงเราเข้าก็บ๊ายบาย เจอกันใหม่ ชาติหน้า ฮ่าๆๆๆ มันสามารถพุงตัวได้เร็วถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยนะ ไม่กี่วินาทีก็ถึงตัวเราได้เลย ผู้อนุรักษ์จึงเตือนตลอดว่าระวังนะจ๊ะ เจ้าไบสั่นเนี่ยก็ดุเป็นเหมือนกัน แล้วขนาดตัวก็ใหญ่กว่ารถหนึ่งคันสะอีก น้ำหนักตัวก็มากด้วย แต่เราชอบดูมันเล็มหญ้า ในทุ่งกว้าง ๆ นะ เป็นภาพที่คลาสสิคมาก ๆ ทำให้รู้สึกว่า “ชั้นมาถึงแล้วเยลโล่สโตนที่รัก” 




พูดเรื่องสัตว์มาพอสมควร เราจะขอต่อด้วยเรื่องที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกซักหน่อยค่ะ ในเยลโล่สโตนเค้าจะมีพิพิธภันฑ์ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของผู้ดูแล, อนุรักษ์ และผู้บุกเบิกอุทยานเอาไว้ให้เราศึกษากันด้วย ข้อมูลก็จะเป็นประวัติความเป็นมาว่า ใครเป็นคนค้นพบเขตอุทยานคนแรก ผู้ดูแลและบุกเบิกกลุ่มแรก อะไรประมาณนี้ซึ่งตัวเราขี้เกียจอ่าน ดูรูปเอาอย่างเดียวเลยจ้า ฮ่าๆๆ แต่ก็มีคุณลุงที่เค้าทำงานอยู่ที่นั้นมาอธิบายให้ฟังว่า กว่าจะได้มาเป็น Ranger เนี่ย ยากลำบากนะ ต้องเดินป่าตามทางที่เค้ากำหนดให้ ให้ครบ และมีบททดสอบอีกมากมายซึ่งเชื่อว่ายากกว่าการเป็นลูกเสือสำรองบ้านเรา ฮ่า ๆๆ ต้องอึดมาก ๆ คุณลุงบอก ไม่งั้นก็ไม่ผ่าน การทดสอบ และที่สำคัญจะมาเป็น Ranger ต้องมีใจรักและเสียสละ เพราะอาชีพนี้เป็นอาสาสมัคร และไม่ได้เงินค่ะ อาสาสมัคร (Volunteer) นั่นเอง 


สถานที่ที่เราไปแล้วนึกขำระหว่างเดินชมอยู่นั้น น่าจะเป็นพวกบ่อกำมะถันต่าง ๆ เพราะเราจะเห็นคนที่เดินสวนไปสวนมา ใช้เสื้อปิดจมูกตลอดเวลา เพราะเจ้าบ่อกำมะถันพวกนี้ มีกลิ่นที่ไม่น่าดมเอาสะเลย ถ้าใครไม่เคยได้กลิ่นก็ไม่น่าจะนึกออก แต่ขอบรร ยายว่า เหม็นเหมือนคนผายลมค่ะ ฮ่าๆๆ ใช่ค่ะ ตด นั้นแหละ คือกลิ่นแบบนั้นจริง ๆ แต่ถ้ามาถึงเยลโล่สโตนแล้วไม่ได้ดม กลิ่นตด เอ้ย!!! กลิ่นกำมะถันพวกนี้ก็ถือว่ามาไม่ถึงแน่นอน เพราะก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจแวะมาชมกันอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ขอบอกว่า ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามมาก สีของแต่ละบ่อจะแตกต่างตามแร่ธาตุ หรือ จุลินทรีย์ และแบคทีเรียที่สามารถเติบโตได้ใน อุณหภูมิน้ำที่แตกต่างกันออกไปทำให้เกิดเป็นสีสันสวยงามแปลกตาแบบที่เราไม่เคยเห็นที่ไหนค่ะ 

The Grand Canyon of The Yellowstone
ที่เยลโล่สโตนเค้าก็มีแกรนแคนย่อนนะเออ อยู่ไม่ไกลจากโลเว่อร์ฟอล(Lower Fall) สีสันของหินมีความสวยงามมาก ๆ เลยทีเดียว ใครที่ไม่ทราบว่าแกรนแคนย่อนเกิดจากอะไรก็จะขอเล่าเท่าที่เราพอทราบนะคะ แกรนแคนย่อนเกิดจากการเคลื่อนตัวของ เปลือกโลกและลาวาทำให้เกิดหินและหน้าผาที่มีสีสันและรูปร่างที่แปลกตาสวยงาม ของที่เยลโล่สโตนอาจจะไม่ใหญ่เท่าที่รัฐเท็กซัส แต่เราว่าก็ดูสวยงามยิ่งใหญ่มาก ๆ เลยทีเดียว ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเล็กนิดเดียวเองเมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า 

เสน่ห์ของอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนมีมากมายเขียนเป็นตัวหนังสือให้รู้สึกเหมือนกับที่เรารู้สึก ณ เวลา นั้นคงจะยาก เพราะความสวยงามที่แม้แต่รูปภาพก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้เหมือนอยู่ในสถานที่จริง ๆ การท่องเที่ยวในเยลโล่สโตนครั้งนี้ เราถือว่าเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเอง ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่ายังมีความสวยงามขนาดนี้อยู่บนโลกของเรา ถ้าเพื่อน ๆ มีโอกาสลองไปเที่ยวดูนะคะ รับรองว่าสิ่งที่จะได้สัมผัสจะประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว 



Author : FellyS

เที่ยวอุทยานแห่งชาติ เยลโล่สโตน ตอนที่ 1 (Yellowstone National Park)


เมื่อเอ่ยชื่ออุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน (Yellowstone National Park) เราคิดว่าเพื่อน ๆ น่าจะคุ้นหู และเคยได้ยินกันมาอยู่บ้าง แต่บางทีอาจจะยังนึกไม่ออกว่าเยลโล่สโตนมีจุดเด่นอย่างไร ถึงทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลังไหลมาชมความงามกันในทุกฤดูกาล อาจเป็นเพราะว่าเยลโล่สโตน มีความสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู แต่ฤดูที่สามารถท่องเที่ยวได้สะดวกที่สุด คือช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วงค่ะ 

อุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนตั้งอยู่ในเขตรัฐไวโอมิ่ง (Wyoming) เราขับรถจากรัฐเทนเนสซี่ (Tennessee) ใช้เวลาโดยประมาณ 2 วันครึ่งค่ะ ใช้เวลานานกว่าปกติเพราะว่าแวะเที่ยวมาเรื่อย ๆ หลายจุด

กว่าจะถึงเยลโล่สโตน ขับผ่าน 13 รัฐด้วยกัน เราไปถึงกันตอนกลางคืนค่ะ ในอุทยานแห่งชาติจะมีโรงแรม ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย แต่ราคาแพงมาก คืนละไม่ต่ำกว่า 200 USD หรือประมาณ 6300 บาท เราได้ไปเที่ยวช่วงเดือนสิงหาคมจะถือเป็นช่วงไฮซีซั่นค่ะ เป็นช่วงหน้าร้อนของประเทศอเมริกา อากาศ 

กำลังดีเลย 15-27 องศา แต่กลางคืนอากาศจะลดลง ไปถึง 10 องศาค่ะ นอนหนาวกันเลยทีเดียวขนาดใช้ ถุงนอนและเครื่องแต่งกายอุ่นยังหนาวเลยเพราะไม่มีฮีทค่ะ เราเลือกพักแบบจุดจอดและพักกางเต้นท์ (Camp Ground) ตกคืนละ 20USD หรือประมาณ 600 บาท ที่นี้มีห้องน้ำรวมให้ค่ะ สะอาดดี

จุดแวะเที่ยวดังๆ ในอุทยานมีหลายที่ด้วยกัน แต่เมื่อกล่าวถึงเยลโล่สโตนคนก็จะนึกถึง 
น้ำพุร้อนโอเฟสท์ฟอล์(Old Faithful Geyser) โอเฟสท์ฟอล์คือจุดที่เป็นบ่อน้ำพุร้อนพวยพุ่งขึ้้นมาจากใต้ดินค่ะ พุงสูงประมาณ 5 – 10 เมตร จะพุงห่างกันประมาณ 30 – 60 นาที จะมีผู้คนมารอชมอยู่มากมาย จุดเด่นเราคิดว่าโอเเฟสท์ฟอล์มีสภาพภูมิประเทศโดยรอบที่สวยงามเป็นทุ่งหญ้าสีทองและมีบ่อน้ำพุร้อนรอบๆ สีสันแตกต่างกันไปตามแร่ธาตุค่ะ ลมเย็นสบายนั่งรอดูน้ำพุพวยพุ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายกับบรรยากาศ และสนุกสนานกับเสียงเชียร์ของนักท่องเที่ยวที่โฮ่ร้องเวลาที่น้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมา ทำให้ตื่นเต้นกับความสวยงามของละอองน้ำสีขาวเหมือนหมอก 

หลังจากชมความสวยงามของโอเฟสท์ฟอล์เสร็จก็ขับรถคดเคียวไปมา ก็จะเจออีกสถานที่ ที่เราประทับใจในความสวยงามก็คือ โลเวอร์ฟอล์ (Lower Fall) เราจอดรถและเดินไปตามทาง ลง ไปชมยังตัวน้ำตกค่ะ ขาลงไม่เท่าไหร่ ขากลับขึ้นมานี้สิหอบกันเลยทีเดียว Lower fall เป็นน้ำตกที่ใหญ่ อลังการมาก สวยงามตะการตา น้ำตกมีความสูงมาก ๆจึงทำให้กระแสน้ำที่มีความรุนแรงไหลเชี่ยวมาก จึงไม่สามารถลงเล่นน้ำในบริเวรณนั้นได้ค่ะ ธารน้ำจะไหลจากน้ำตกแหวกแนวเขา 2 ลูก ทำให้วิวน่าดูอัศจรรย์เกินคำบรรยายจริงๆ และทำให้ที่นี้เป็นซิกเนเจอร์ของเยลโล่สโตนเลยทีเดียวค่ะ 


เที่ยวมาทั้งวันอาจจะเหนื่อย เรามาแวะทานอาหารกันหน่อยค่ะ เราแวะกันที่ร้าน Lake house Restaurant เป็นร้านอาหารติดทะเลสาปบรรยากาศกระท่อมไม้ชายป่าประดับประดาไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ได้บรรยากาศของการมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติดีค่ะ อาหารในเมนูก็จะเป็นอาหารอเมรินปกติค่ะ สลัดต่าง ๆ สเต็กเนื้อ และยังมีเมนูปลาให้คนรักสุขภาพอีกด้วย เราสั่งบัฟโฟโล่ชิกเก้นสลัด รสชาติอร่อยมาก แต่!!! ปริมาณน้อยและราคาสูงมากเลยที่เดียว แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนบรรยากศดีค่ะ
Cradit: yellowstonewiki.com/wiki/Lake_House_Restaurant  










การเที่ยวในเยลโล่สโตนต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะชมจุดสำคัญ ๆ ได้ทั่ว เพราะเป็น National park ที่ใหญ่จริง ๆ ค่ะ ยังมีสถานที่เที่ยวอีกมากมาย รวมถึงความสนุกสนานในการชมสัตว์ป่าด้วย จะกลับมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปนะคะ 

Author : FellyS

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ช็อปปิ้งกระหน่ำ วันแรงงาน (Labor Day)



Labor Day วันแรงงานของที่นี่ นับเป็นวันหยุดสำคัญวันหนึ่งในอเมริกาค่ะ เป็นวันหยุดของพวกใช้แรงงานอย่างพวกเรา คนที่นี่ก็ยังถือว่าวันนี้เป็นวันสิ้นสุดฤดูร้อนด้วยค่ะ สระว่ายน้ำและสวนน้ำต่างๆ จะปิดหลังวันแรงงาน เนื่องจากว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูร้อน ก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและอากาศจะเริ่มเย็นขึ้น ชาวอเมริกันจึงมักจะถือเอาช่วงวันหยุดสุดท้ายนี้ไปเที่ยวทะเล หรือไปเที่ยวสวนน้ำ เพราะกว่าสวนน้ำและสระน้ำจะเปิดให้บริการอีกทีก็วันเมมโมเรียลเดย์ในปีถัดไป และถือเป็นช่วงสิ้นสุดของการเที่ยวสำหรับเด็กนักเรียนเนื่องจากว่าใกล้เปิดเทอมแล้ว

ตั้งชื่อเรื่องว่า "ช๊อปปิ้งกระหน่ำ Labor Day" แต่จริงๆแล้ว Labor day ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรโดยตรงกับธุรกิจค้าขายต่างๆหรอกนะคะ แต่ในเมื่อวันนี้เป็นวันหยุด ร้านค้าต่างๆจึงฉวยโอกาสนี้ ลดราคากระหน่ำส่งท้ายฤดูร้อน ดูดเงินออกจากกระเป๋าขาช็อปทั้งหลายกัน วันนี้เป็นวันหยุดพักแรงงานก็จริง แต่แรงงานของคนขายของตามร้านค้าต่างๆ ก็ยังต้องใช้อยู่ แถมหนักกว่าวันธรรมดาเสียอีกค่ะ

วันนี้พวกเราถือโอกาสมาชอปปิ้งชื้อของที่ Outlet Mall Leeburge ที่นี่ เป็นแหล่งช๊อปแบบ outdoor ค่ะ มีสินค้าหลากหลายชนิด จากร้านแบรนด์เนมดังๆ ตั้งอยู่เรียงรายให้ได้เดินชม ทางเดินที่นี่สะดวกสบายดีมากค่ะ เส้นทางช๊อปทั้งสองข้างทางก็มีร่มบัง หากใครต้องการแดดเต็มที่ ก็มีทางเดินกว้างๆเปิดโล่งอยู่ตรงกลางค่ะ



ราคาของสินค้าที่เอาท์เล็ท มอลล์ (Outlet Mall) โดยปกติมักจะมีส่วนลดจากราคาเต็มอยู่แล้ว แต่สินค้าบางชิ้น อาจจะไม่ได้ลดมาก ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละช่วง ของแต่ละร้านด้วย เพราะฉะนั้นบางคนมาเดินช็อปอาจจะไม่เจอสินค้าที่ลดราคาแบบเยอะมาก ๆ แต่หากใครไปถูกเวลาแล้วละก็ คุณอาจจะได้สินค้าที่ลดราคากว่า 50 - 90% เลยล่ะค่า

วันนี้เรามุ่งตรงมาที่ร้าน Gap ก่อนเลย เพราะเพื่อนได้คูปอง 2 ใบซื้้้อสินค้ามูลค่ารวมตั้ง $85 (หมดอายุไปก่อนหน้าแล้วสองใบ โอ้โนว) เลยขอช่วยใช้ซักนิดหน่อยพอเป็นพิธี ที่ร้านคนเยอะมากค่ะ เดินดูของไปรอบๆ ก็พบว่า สินค้าที่ลดมากๆ แบบ 40% ขึ้นไป โดยมากจะเป็นของที่ดูไม่ค่อยสวย หรือไซต์ขนาดใหญ่เกินมาตรฐานค่ะ ส่วนที่ดูดีหน่อย ก็ลดแต่ 20% ซะงั้น

แต่สุดท้าย ก็ได้ติดไม้ติดมือมาบ้าง หนึ่งในนั้นคือเสื้อกล้ามราคาสุดคุ้ม เพียงเหรียญกว่าๆเท่านั้น จากสิบกว่าเหรียญ! วิ้ววิ้ว



จากนั้นก็ได้เสื้อยืดอีกตัวสองตัวที่ร้าน "UNDER ARMOUR" ค่ะ ขายเครื่องแต่งกายสำหรับเล่นกีฬา เรียกได้ว่าค่อนข้างเป็นที่นิยมของคนที่นี่เหมือนกันค่ะ เพราะเนื้อผ้าค่อนข้างดีและทรงสวย



จากนั้นก็เดินWindow Shopping ไปเรื่อย ระหว่างทาง เห็นรถไฟสีสดใสสำหรับให้เด็กนั่ง(แต่ผู้ใหญ่ก็ขึ้นได้) จอดคอยท่าอยู่ อันนี้ต้องเสียตังค์ด้วยนะคะ รถไฟก็จะวิ่งวนไปมาสัก 5-10 นาทีเท่านั้นแหละค่ะไม่รู้ว่าราคา ticket เท่าไหร่นะคะ รู้แต่ว่าคนเก็บเงินหน้าบานเลยวันนี้ เพราะลูกค้าตัวน้อยเยอะเป็นพิเศษ ที่นี่เราจะเห็นลูกเด็กเล็กแดงมากมาย กระเตงกันมากับคุณพ่อคุณแม่ขาช๊อปด้วย

ที่ Outlet นี้ก็เลยมี playground ด้วยค่ะ มีเก้าอี้น่านั่งโดยรอบสำหรับผู้ใหญ่ และยังมีตู้ขายน้ำ, ขนม มาคอยบริการอยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย




เดิน Shopping นี่ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก! แวบเดียวผ่านไปแล้ว 3 ชั่่วโมง! วันนี้เลยต้องขอหยุดพักช็อปเท่านี้ก่อนค่ะ ท้องก็เริ่มร่ำร้องเพราะไม่ได้กินข้าวกลางวันมา เราเลยต้องจากลา outlet ด้วยประการฉะนี้ (เจอกันใหม่ครั้งหน้าตอน Black Fri Day!!!!)



วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

ถ้ำรูเรย์ (Luray Caverns)

วันนี้เรามาเที่ยวที่ ถ้ำ รูเรย์ (Luray Caverns) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก วอชิงตัน ดีซี ค่ะใช้เวลาขับรถก็ประมาณ ชั่วโมงกว่า ถ้ำนี้ตั้งอยู่ใน Shenandoah Valley เขตเวอร์จิเนีย ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากเลยทีเดียว มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมความงามของถ้ำนี้กันมากมาย เพราะถือว่าเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณใกล้ดีซี






ถ้ำรูเรย์ มีความพิเศษ เพราะเป็นถ้ำที่อยู่ใต้ดินค่ะ ที่กำเนิดมานานหลายร้อยล้านปีแล้ว เรียกได้ว่าโคตรโบราณทีเดียว ก่อนที่จะเข้าถ้ำต้องจ่ายค่าตั๋วก่อน ประมาณ 22 ดอล ถือว่าแพงค่ะ แต่เอ้า ถือเป็นการจ่ายค่าทนุบำรุงถ้ำแล้วกัน


เมื่อเริ่มเดินเข้าไปด้านในถ้ำ จะเป็นทางลาด ชันนิดนิด แต่ต้องระวังมากค่ะ ใครข้อเท้า ข้อเข่าไม่ดี ต้องควรระวังจับที่ยึดเกาะให้แน่นๆนะค่ะ

เมื่อเข้ามาถึงในถ้ำแล้ว ก็ต้องตื่นตะลึงในความยิ่งใหญ่ งดงามของหินงอก หินย้อย อันเป็นผลงานที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติ เมื่อโบราณนานมาแล้วบริเวณนี้เคยเป็นทะเล และต่อมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก มีการอัดแน่นสะสมของตะกอนและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหิน จนกลายเป็นถ้ำใต้ดิน ที่มี หินงอก หินย้อย อย่างสวยงามที่นี่








เมื่อเดินรอบๆ ภายในถ้ำ จะมีไฟให้แสงสว่างเป็นระยะ ไม่ต้องกลัวมองไม่เห็นทางค่ะ ภายในถ้ำก็ไม่อึดอัด เพราะมีการระบายอากาศที่ดี เส้นทางการเดินก็สบายไม่ต้องปืนป่ายให้เสียวสันหลัง บางช่วงก็มีราวจับเพื่อเด็กและคนพิการอีกด้วย เรียกได้ว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวได้อย่างดี


จุดที่น่าสนในในถ้ำนี้ อยู่ตรงบริเวณที่เรียกว่า mirror perfect pools คือมีแอ่งน้ำอยู่ภายในถ้ำซึ่งความงดงามอยู่ที่ภาพของหินย้อย ที่สะท้อนกับผิวน้ำ ดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตา เพราะมองลงไปในน้ำแล้วจะเห็นเป็นหินงอกหินย้อย นี้อยู่สูงเหนือน้ำ แต่ที่จริงแล้วน้ำลึกแค่ 20 นิ้วเท่านั้น


และ หินงอกที่มีลักษณะเหมือน ไข่ทอด "Fried Eggs" เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปไว้เช่นกัน เมื่อแรกเริ่มเดิมที เค้าไม่ได้กั้นเขตบริเวณเจ้าไข่นี่หรอกนะคะ แต่เห็นเค้าบอกว่าคนชอบไปจับกันจนมันเปลี่ยนเริ่มเปลี่ยนสีคล้ำขึ้น ก็เลยต้องกั้นไม่ให้ผู้ชมเข้าใกล้เดี๋ยวไข่เขาจะเสียหายไปมากกว่านี้ค่า



ถ้าคนไหนไม่ชอบเข้าถ้ำ ข้างๆก็ยังมีเขาวงกต (Garden Maze)ให้เล่น เป็นหนึ่งใน Maze ที่ใหญ่ที่สุดใน Mid-Atlantic  ทีเดียวเชียว ส่วนค่าเข้าก็ 9 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่ 7 เหรียญสำหรับเด็ก (อายุ 6-12) ค่ะ


เด็กๆกำลังพยายามหาทางไปยังบ่อน้ำที่อยู่ตรงกลางเขาวงกต









Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...